โอมากาเสะ ( omakase ) เป็นวิถีการกินแบบตามใจเชฟ หรือเรียกว่า Chef’s Table นั่นเอง เป็นการรับประทานอาหารที่ไม่สามารถเลือกเมนูได้ แต่ละเมนูเชฟจะเป็นคนจัดให้ เป็นอาหารที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ เป็นอาหารที่มีหลากหลายคอร์สที่เชฟประณีตบรรจงทำขึ้นมา จะเน้นวัตถุดิบที่มีตามฤดูกาล โอมากาเสะ จะเน้นการเสริร์ฟเป็นคอร์ส จะประกอบไปด้วยเมนูที่หลากหลาย จานหลักจะเป็นซูชิ จะมีซุป ซาชิมิ เครื่องเคียง ต่าง ๆ และอาจจะมีของหวานเสิร์ฟด้วยกันเป็นเซ็ต ลูกค้าจะได้นั่งหน้าเคาน์เตอร์ ได้ดูเชฟปรุงอาหารต่อหน้าแบบสด ๆ ลำดับการเสิร์ฟแต่ละเมนูจะเรียงตามความเหมาะสม เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด
ประวัติของ omakase
โอมากาเสะเริ่มต้นขึ้นจากที่ไหน ไม่ได้มีการระบุไว้ชัดเจน ที่แน่นอนคือการเสิร์ฟของโอมากาเสะ คงเริ่มต้นมาจากร้านซูชิ และจะต้องเป็นร้านซูชิที่มีราคาค่อนข้างแพง และมีความหรูหรา ความสำคัญของโอมากาเสะ คือความใกล้ชิดระหว่างเชฟกับคนกิน ซึ่งก่อนที่จะมีการเสิร์ฟอาหารแต่ละอย่าง เชฟจะมีการอธิบายเรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับซูชิคำนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น อธิบายเรื่องเล่าของปลา วัตถุดิบต่าง ๆ ที่นำมาทำในแต่ละเมนู การนำมาเติมแต่งรสชาติด้วยวิธีแบบไหน หรือทาด้วยโชยุต้นตำรับพิเศษที่ทางร้านหมักเอง หรือแม้แต่การโชว์ตัวปลาให้ดูว่าคำต่อไปที่กำลังจะกินมาจากปลาหน้าตาแบบไหน ซึ่งหลังปี 1900 ประเทศญี่ปุ่นเศษฐกิจเติบโตขึ้น คนเริ่มมีกำลังทรัพย์มากขึ้นจนสามารถทานซูชิระดับไฮเอนด์ได้ แต่พวกเขาไม่มีความรู้เรื่องปลามากเท่าไร โดยสั่งให้เชฟทำโดยไม่เอ่ยชื่อปลาโดยเฉพาะเจาะจง จึงเริ่มต้นการกินแบบโอมากาเสะจึงถือกำเนิดตั้งแต่นั้นมา
เสน่ห์ของโอมากาเสะ
จะเพลิดเพลินไปกับการได้นั่งหน้าบนเคาน์เตอร์บาร์ มองไปที่เชฟผู้มากทักษะบรรจงใช้มีดอย่างนุ่มนวล ค่อย ๆ ปั้นข้าวทีละคำ และการพูดคุยสนทนาไปตอบโต้กันระหว่างมื้ออาหาร ล้วนเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่แตกต่างจากร้านอาหารทั่วไป
จุดเด่นอีกอย่างของโอมากาเสะนั้นอยู่ที่วัตถุดิบ หัวใจสำคัญคือความสดใหม่ และเป็นวัตถุดิบตามฤดูกาล เพื่อให้ได้มื้ออาหารที่มีคุณภาพสูงสุด จึงไม่แปลกที่ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Fish Market) แห่งกรุงโตเกียวจะได้ชื่อว่าเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญของพ่อครัวซูชิในประเทศญี่ปุ่น ร่วมถึงส่งออกไปสู่ประเทศต่าง ๆ ที่วัฒนธรรมการกินของญี่ปุ่นเข้าถึง
ปัจจุบันนี้ โอมากาเสะ ในประเทศญี่ปุ่นนอกจากจะอยู่ในร้านซูชิแล้ว ตามร้านอาหารทั่ว ๆ ไปก็มีอาหารมื้อกลางวันแบบโอมากาเสะด้วยเช่นกัน ถ้าหากไม่อยากกินอาหารที่มีอยู่ในเมนูก็ให้พ่อครัวของร้านทำเมนูเซอร์ไพรส์มาให้ลองก็ได้ หรือหากไปในภัตราคารหรูที่มาพร้อมมื้ออาหารและไวน์ชั้นเลิศแล้วไม่มีความรู้เรื่องไวน์ ก็สามารถสั่ง โอมากาเสะ ยกหน้าที่เลือกไวน์ดี ๆ สักขวดไว้ในมือของซอมเมลิเย่ร์ไปเลย ซึ่งโอมากาเสะที่ใช้กับเครื่องดื่มนี้ก็สามารถใช้ได้ผลเช่นเดียวกับค็อกเทลบาร์ หากมองหาเครื่องดื่มแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น ก็ปล่อยให้บาร์เทนเดอร์สร้างสรรค์เซอร์ไพรส์ค็อกเทลมาให้ลองสักแก้ว
ไม่ใช่แค่เรื่องกิน โอมากาเสะยังสามารถใช้ได้กับแฟชั่นเครื่องแต่งกาย มีบางร้านค้าที่ให้บริการจัดชุดให้กับตรงกับรสนิยมของลูกค้าหรือช่วยเหลือผู้ไม่มีเซ้นส์ด้านแฟชั่นผ่านการกรอกแบบสอบถาม หรือแม้แต่ทรงผมก็สามารถสั่งแบบโอมากาเสะให้สไตลิสต์ออกแบบได้เต็มที่เหมือนกัน
ข้อควรรู้เกี่ยวกับโอมากาเสะ
1 ร้านโอมากาเสะ สามารถรับลูกค้าได้จำนวนจำกัดต่อวัน โดยจะแบ่งเป็นรอบ ๆ คุณจะได้เห็นเชฟรังสรรค์เมนูแบบชิดขอบโต๊ะกันเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่เรียกน้ำย่อยระหว่างรอได้ดีทีเดียว
2 ร้านโอมากะเสะส่วนมากจะต้องจองก่อนที่จะเข้าใช้บริการ หากคุณแพ้อาหการชนิดไหน หรือไม่ชอบสามารถแจ้งได้ในขั้นตอนนี้ และอีกหนึ่งขั้นตอนที่จะบอกว่าเราไม่รับประทานอะไรให้แจ้งอีกครั้งตอนที่เชฟโชว์วัตถุดิบที่จะใช้ ก่อนที่เชพจะปรุงให้กิน
3 ไม่ควรที่จะส่งเสียงดังรบกวนลูกค้าท่านอื่น เพราะแต่ละรอบลูกค้าจะน้อย และค่อนข้างต้องการความเป็นส่วนตัว และก่อนที่จะถ่ายวิดีโอควรที่จะต้องเช็คกฏของทางร้านว่าสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง และควรที่จะรับประทานหลังที่เชฟเสิร์ฟทันที เพราะหากรับประทานช้า อาจทำให้รสชาติจะเสียไปได้
4 เนื่องจากโอมากาเสะ คือสุนทรียภาพแห่งการรับประทาน ไม่ควรใส่น้ำหอมแบบจัดเต็มแบบรุนแรง เพราะกลิ่นอาจไปรบกวนการลิ้มรส ทำให้เสียบรรยากาศได้การรับประทานได้ และร้านอาจมีข้อกำหนดเรื่องกลิ่น ควรที่จะศึกษาก่อนที่จอง
5 ไม่ควรที่จะเติมวาซาบิ และซอสเยอะจนเกินไป เพราะอาจจะไปกลบกลิ่นของอาหารได้ และความอร่อยของวัตถุดิบได้
Premium Courses 3,990 บาท (12 – 15 Courses)
Exclusive Courses 6,990 บาท (15 – 18 Courses)
Edo Omakase บริการวันละ 2 รอบ ( ปิดทุกวันจันทร์ ) รอบ 13:00 น. | รอบ 19:00 น.
โทร : 0633542122
Line : http://line.me/ti/p/~@edo_omakase